สินทรัพย์อะไรเอ่ยที่มีสภาพคล่องสูงและสามารถขายเป็นเงินดอลล่าร์ได้ 24/7 ตลอด 365 วัน อีกทั้งไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง … มันมีอยู่อย่างหนึ่งนี่นา?
ธนาคารกลางกับบิตคอยน์ดูเหมือนความขัดแย้งกันสุดขั้ว แต่จริงๆแล้วดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่น่าจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นเร็วๆนี้ เพราะเหตุผลอะไรวันนี้ Coins.co.th จะพามาดูว่าเงินดอลล่าร์สหรัฐช่วงนี้ปั่นป่วนแค่ไหน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐมีการพิมพ์เงินดอลล่าร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ หลังจากที่หลายๆประเทศที่ใช้เงินดอลล่าร์ในการใช้จ่ายต่างประสบปัญหาขาดแคลนเงินดอลลาร์อย่างเฉียบพลัน เช่น
- กานาเริ่มจ่ายค่านำเข้าน้ำมันเป็นทองคำ เนื่องจากไม่มีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
- ไนจีเรียเริ่มขาดแคลนเชื้อเพลิง ระงับเที่ยวบิน เนื่องจากนโยบายจำกัดปริมาณสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯของธนาคารกลาง
- อียิปต์เผชิญปัญหาการขาดแคลนข้าวสาลีเรื้อรัง เนื่องจากไม่มีเงินดอลลาร์ที่จะจ่ายสำหรับการขนส่งเมล็ดพืชจำนวนมาก
- ศรีลังกาไม่สามารถจ่ายค่าเชื้อเพลิงได้ ต้องปิดโรงเรียนและสำนักงาน และจัดสรรลำดับความสำคัญให้กับคู่สัญญาที่สามารถจ่ายเป็นดอลลาร์ได้
- ธนาคารเคนยาต้องรับมือกับการขาดแคลนอาหารและราคาที่สูงขึ้นหลังจากนโยบายจำกัดปริมาณสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯของธนาคารกลาง เช่นเดียวกันกับไนจีเรีย
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเมือง ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีระบบ swap line ที่จ่ายดอลลาร์ให้กับธนาคารกลางต่างประเทศในกรณีที่จำเป็น แต่ไม่ใช่สำหรับธนาคารกลางทุกแห่ง – มีเพียงแคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้นที่สามารถเข้าถึง Standing Swap Line ได้ ในทางทฤษฎีแล้ว ที่อื่นสามารถรับได้ชั่วคราวในช่วงวิกฤต แต่แม้ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ ธนาคารกลางสหรัฐฯยังให้ Swap Line แก่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่สองแห่งเท่านั้น ได้แก่ บราซิลและเม็กซิโก
สถานะเครดิตที่แย่ลงของผู้กู้เงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ขาดความน่าเห็นใจจากสหรัฐ เช่นเดียวกับความกังวลว่าเงินกู้ยืมของสหรัฐอาจไปชำระหนี้ของจีนหรือการนำเข้าทางการเงินจากรัสเซีย และในขณะที่สหรัฐฯ สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้เมื่อเหตุการณ์มันเริ่มเลวร้ายมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เคยทำกับศรีลังกาเมื่อต้นปีนี้ การแทรกแซงดังกล่าวสามารถแบกรับเงื่อนไขที่หลายประเทศไม่สามารถรับมือได้ เช่น ท่าทีของรัฐบาลนั้นๆกับจีนที่ควรห่างกันมากขึ้น เป็นต้น
“ทรัพย์สินที่ปลอดภัย” ของโลกนั้นไม่ปลอดภัยอย่างที่ทุกคนคิด อีกด้านหนึ่งทองคำสำรองก็มีความเสี่ยง อาคาร New York Federal Reserve เป็นแหล่งสำรองทองคำทางการเงินที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของธนาคารกลางต่างประเทศ การเข้าถึงทองคำสำรองไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือกระดาษไม่รับประกันความปลอดภัย 100% ในทางกลับกันบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ของผู้ถือซึ่งไม่แพงหรือซับซ้อนในการจัดเก็บอย่างปลอดภัยในอาณาเขตของประเทศนั้นๆ อีกทั้งมีสภาพคล่องที่สูงมากมีแค่เพียงอินเทอร์เน็ตก็สามารถขายได้แล้ว กรณีที่อาจจะนำบิตคอยน์มาใช้ได้เช่น การให้กู้ยืมบิตคอยน์จากสหรัฐแก่ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งเกิดจากความเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศเอง โดยการขยายข้อตกลงการแลกเปลี่ยนที่ไม่ใช่สกุลเงินดอลลาร์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่นำไปใช้กับประเทศจีนหรือรัสเซียเป็นต้น
ความสนใจต่อแนวคิดของธนาคารกลางที่จะถือครองบิตคอยน์กำลังเพิ่มขึ้น ในเดือนพฤษภาคม Alliance for Financial Inclusion จัดการประชุมในเอลซัลวาดอร์ที่เรียกประชุมนายธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินจาก 44 ประเทศเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การรวมทางการเงินและบิตคอยน์ส่วนใหญ่มาจากประเทศเล็กๆที่กู้ยืมเงินจากประเทศใหญ่ๆทั้งนั้น
Matthew Ferranti จากแผนกเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Harvard ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับธนาคารกลางและบิตคอยน์ในทางเทคนิคแล้วมันเสี่ยงที่จะถูกคว่ำบาตรจากกองทุนเงินสำรอง! แต่หลายๆสิ่งควรปรับเปลี่ยนไปตามยุคและสมัย
นักวิชาการหลายๆท่านมีความเห็นว่าการนำบิตคอยน์มาใช้โดยธนาคารกลางเพื่อเป็นทุนสำรองของพวกเขาจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนในบางส่วนของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีดราม่าเกี่ยวกับ FTX ซึ่งจริงๆแล้วเกิดจากการฉ้อโกงของบุคคลไม่ได้เกี่ยวกับระบบของสกุลเงินดิจิทัลเลย และมันส่งผลให้ทุกอย่างชัดเจนมายิ่งขึ้นทั้งในด้านกฎหมายและการยอมรับที่เพิ่มมากขึ้น
